วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ความหมายของการ “การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ คือ การพัฒนาความเจริญหน้าในวิทยาการของโลกตะวันตก ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการค้นคว้าแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ โลก และจักรวาล ทำให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง เป็นผลให้ชาติตะวันตกพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์1.การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตน มีอิสระทางความคิด หลุดพ้นจากการครอบงำของคริสตจักร และมุ่งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น2.การพัฒนาเทคโนโลยีในดินแดนเยอรมันตอนใต้ โดยเฉพาะการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์แบบใช้วิธีเรียงตัวอักษร กูเตนเบิร์ก ในปี ค.ศ. 1448 ทำให้สามารถพิมพ์หนังสือเผยแพร่ความรู้ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง3.การสำรวจทางทะเลและการติดต่อกับโลกตะวันออก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาทำให้อารยธรรมความรู้ต่างๆ จากจีน อินเดีย อาหรับ และเปอร์เซีย เผยแพร่เข้ามาในสังคมตะวันตกมากขึ้นความสำคัญของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์1.ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในสติปัญญาและความสามารถของตน เชื่อมั่นในความมีเหตุผล และนำไปสู่การแสวงหาความรู้โดยไม่มีสิ้นสุด2.ก่อให้เกิดความรู้และความเจริญก้าวหน้าในด้านวิทยาการด้านต่างๆ และทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นศาสตร์ที่มีความสำคัญ โดยเน้นศึกษาเรื่องราวของธรรมชาติ3.ทำให้เกิดการค้นคว้าทดลองและแสวงหาความรู้ด้านต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในสมัยต่อมา4.ทำให้ชาวตะวันตกมีทัศนคติเป็นนักคิด ชอบสังเกต ชอบซักถาม ชอบค้นคว้าทดลอง เพื่อหาคำตอบ และนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในระยะแรกการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ในระยะแรก เป็นการค้นพบความรู้ทางดาราศาสตร์ ทำให้เกิดคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ ซึ่งเป็นการท้ายความเชื่อดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา สรุปได้ดังนี้1.การค้นพบทฤษฏีระบบสุริยจักรวาลของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส ( nicholaus Copernicus ) ชาวโปแลนด์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สาระสำคัญ คือ ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมรโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โคจรโดยรอบ ทฤษฏีของโคเปอร์นิคัสขัดแย้งกับหลักความเชื่อของคริสตจักรอยากมาที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แม้จะถูกประณามอย่างรุนแรง แต่ถือว่าเป็นความคิดของโคเปอร์นิคัสเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ชาวตะวันตกให้ความสนใจเรื่องราวลี้ลับของธรรม 2. การประดิษฐ์กล้องจุลทรรศน์ ( Telescope ) ของกาลิเลโอ ชาวอิตาลีในปี ค.ศ.1609 ทำให้ความรู้เรื่องระบบสุริยจักรวาลชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ได้เห็นจุดดับในดวงอาทิตย์ได้สังเกตการณ์เคลื่อนไหวของดวงดาว และได้เห็นพื้นขรุขระของดวงจันทร์ เป็นต้น 3. การค้นพบทฤษฏีการโคจรของดาวเคราะห์ ของโจฮันเนส เคปเลอร์ ( johannees kepler ) ชาวเยอรมัน ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 สรุปได้ว่า เส้นทางโคจรของดาวเคราะห์ รวบดวงอาทิตย์เป็นรูปไข่ หรือวงรี มิใช่เป็นวงกลมตามทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส การเสนอวิธีสร้างควารู้แบบวิทยาศาสตร์ ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีนักคณิตศาสตร์ 2 คน ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับวิธีสร้างความรู้เพื่อการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ สรุปได้ดังนี้ 1. เรอเนส์ เดส์การ์ตส์ ( Rene Descartes ) ชาวฝรั่งเศส และเซอร์ ฟรานซิส เบคอน ( Sir Francis Bacon ) ชาวอังกฤษ ได้ร่วมกันเสนอหลักการการใช้เหตุผล วิธีการทางคณิตศาสตร์ และการค้นคว้าวิจัยมาใช้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแสวงหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ 2. ความคิดของเดส์การ์ตส์ เสนอว่าเรขาคณิตเป็นหลักความจริง สามารถนำไปใช้สืบค้นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้ ซึ่งได้รับความเชื่อถือจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยต่อมาเป็นอย่างมาก 3. ความคิดของเบคอน เสนอแนวทางการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้ “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” เป็นเครื่องมือศึกษา ทำให้วิทยาศาสตร์ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง การจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ1. การเสนอทฤษฏีการศึกษาค้นคว้าด้วย “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” ทำให้เกิดความตื่นตัวของปัญญาชนในยุโรป มีการจัดตั้งสถาบันทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นในประเทศต่างๆ หลายแห่ง ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพื่อสนับสนุนงานวิจัย การประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ทำให้วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าตามลำดับ2. ความร่มมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับนักประดิษฐ์นำไปสู่การพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นรากฐานของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ จึงมีผู้กล่าวว่า การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นยุคแห่งอัจฉริยะ ( The Age of Genius ) เพราะมีการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมมากมาย การค้นพบ “กฎแห่งการโน้มถ่วง” ของนิวตัน 1. การค้นพบความรู้หรือทฤษฏีใหม่ของ เซอร์ ไอแซค นิวตัน ( Sir Isaac Newton ) นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 มี 2 ทฤษฏี คือ กฎแรงดึงดูดของจักรวาลและกฎแห่งการโน้มถ่วง 2. ผลการค้นพบทฤษฏีทั้งสองดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดโลกและดาวเคราะห์จึงหมุนรอบดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จึงหมุนรอบโลกได้โดยไม่หลุดจากวงโคจร และสาเหตุที่ทำให้วัตถุต่าง ๆ ตกจากที่สูงลงสู่พื้นดินโดยไม่หลุดลอยออกไปยังอวกาศ 3. ความรู้ที่พบกลายหลักของวิชากลศาสตร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจถึงเรื่องราวของเอกภพ สสาร พลังงาน เวลา และการเคลื่อนตัวของวัตถุบนท้องฟ้า โดยใช้ความรู้และวิธีการทางคณิตศาสตร์ช่วยค้นพบคำตอบ ผลจากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 1. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เป็นสาเหตุผลักดันให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปพัฒนาความเจริญก้าวหน้าในด้านการผลิตจนกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 2. การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิด “ยุคภูมิธรรม” หรือ “ยุคแห่งการรู้แจ้ง” ทำให้ชาวตะวันตกเชื่อมั่นในเหตุผล ความสามารถ และภูมิปัญญาของตน เชื่อมั่นว่าโลกจะก้าวหน้าพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีความมั่นใจว่าจะสามารถแสวงหาความรู้ต่อไปไม่มีวันที่สิ้นสุด โดยอาศัยเหตุผลและสติปัญญาของตน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น