ประเทศไทย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- "ไทย" เปลี่ยนทางมาที่นี่ สำหรับความหมายอื่น ดูที่ ไทย (แก้ความกำกวม)
ประเทศไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 50 ของโลก มีเนื้อที่ 513,115 ตารางกิโลเมตร[6] และมีประชากรมากเป็นอันดับ 20 ของโลก คือ ประมาณ 66 ล้านคน[1] กับทั้งยังเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่[7][8][9][10] โดยมีรายได้หลักจากภาคอุตสาหกรรมและการบริการ[11] ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันมาก อาทิ พัทยา, ภูเก็ต, กรุงเทพมหานคร และเชียงใหม่ ซึ่งสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ เช่นเดียวกับการส่งออกอันมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ[12] และด้วยจีดีพีของประเทศ ซึ่งมีมูลค่าราว 260,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ตามที่ประมาณใน พ.ศ. 2552 เศรษฐกิจของประเทศไทยนับว่ามีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 33 ของโลก
ในอาณาเขตประเทศไทย พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[13] นักประวัติศาสตร์มักถือว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นยุคสมัยแรกของคนไทย ซึ่งต่อมาตกอยู่ในอิทธิพลของอาณาจักรอยุธยา อันมีความยิ่งใหญ่กว่า เนื่องจากมีการติดต่อกับชาติตะวันตก แต่ก็ร่วงโรยลงช่วงหนึ่ง อันเนื่องมาจากการขยายอำนาจของพม่านับแต่ พ.ศ. 2054 ก่อนจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง ก่อนเสื่อมอำนาจและล่มสลายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาอาณาจักรธนบุรี เหตุการณ์ความวุ่นวายในช่วงปลายอาณาจักร ได้นำไปสู่ยุคสมัยของราชวงศ์จักรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงต้นกรุง ประเทศต้องเผชิญภัยคุกคามจากชาติใกล้เคียง แต่หลังรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ชาติตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคเป็นอย่างมาก นำไปสู่การเข้าเป็นภาคีแห่งสนธิสัญญาหลายฉบับ และการเสียดินแดนบางส่วน กระนั้น ไทยก็ยังธำรงตนมิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด ๆ ต่อมาจนช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไทยได้เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร และในปี พ.ศ. 2475 ได้มีการปฏิวัติสยามเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ และไทยได้เข้ากับฝ่ายอักษะในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จนช่วงสงครามเย็น ไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา และต้องผ่านสมัยรัฐบาลทหารมานานหลายสิบปี กระทั่งมีการตั้งรัฐบาลพลเรือน และเข้าสู่ยุคโลกเสรีในปัจจุบัน
เนื้อหา[ซ่อน] |
ชื่อเรียก
- ดูเพิ่มที่ สยาม
ต่อมา เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ตามประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งประกาศใช้เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482) [18] ได้เปลี่ยนชื่อประเทศ พร้อมกับเรียกประชาชน และสัญชาติจาก "สยาม" มาเป็น "ไทย"[19] ซึ่งจอมพล ป. มีเจตนาต้องการบ่งบอกว่าดินแดนนี้เป็นของชาวไทย มิใช่ของเชื้อชาติอื่น ตามลัทธิชาตินิยมในเวลานั้น[20] โดยในช่วงต่อมาได้เปลี่ยนกลับเป็นสยามเมื่อปี พ.ศ. 2488[19] แต่ก็ได้เปลี่ยนกลับมาชื่อไทยอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี การเปลี่ยนชื่อในครั้งนี้ยังเปลี่ยนจาก "Siam" ในภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เป็น "Thaïlande" ในภาษาฝรั่งเศส และ "Thailand" ในภาษาอังกฤษอย่างในปัจจุบัน[16] อย่างไรก็ตาม ชื่อ สยาม ยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ
ชื่อของประเทศไทยในภาษาอังกฤษมักจะถูกจำสับสนกับไต้หวันอยู่บ่อย ๆ[21]
ภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
- ดูบทความหลักที่ ภูมิศาสตร์ไทย และ ภูมิอากาศไทย
ประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่หลากหลาย ภาคเหนือเป็นพื้นที่ภูเขาสูงสลับซับซ้อน จุดที่สูงที่สุดในประเทศไทย คือ ดอยอินทนนท์ ณ 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล[22] รวมทั้งยังปกคลุมด้วยป่าไม้อันเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญของประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ของที่ราบสูงโคราช สภาพของดินค่อนข้างแห้งแล้งและไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกนัก แม่น้ำเจ้าพระยาเกิดจากแม่น้ำหลายสายที่ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ อันได้แก่ แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน ทำให้ภาคกลางกลายเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศ และถือได้ว่าเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก[23] ภาคใต้เป็นส่วนหนึ่งของคาบสมุทรไทย-มาเลย์[24] ขนาบด้วยทะเลทั้งสองด้าน มีจุดที่แคบลง ณ คอคอดกระ แล้วขยายใหญ่เป็นคาบสมุทรมลายู ส่วนภาคตะวันตกเป็นหุบเขาและแนวเทือกเขาซึ่งพาดตัวมาจากทางตะวันตกของภาคเหนือ
แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขงถือเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญของประเทศไทย การผลิตของอุตสาหกรรมการเกษตรจะต้องอาศัยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จากแม่น้ำทั้งสองและสาขาทั้งหลาย อ่าวไทยกินพื้นที่ประมาณ 320,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งไหลมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำบางปะกง และแม่น้ำตาปี ซึ่งเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว เนื่องจากน้ำตื้นใสตามแนวชายฝั่งของภาคใต้และคอคอดกระ อ่าวไทยยังเป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมของประเทศ เนื่องจากมีท่าเรือหลักในสัตหีบ และถือได้ว่าเป็นประตูที่จะนำไปสู่ท่าเรืออื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร ส่วนทะเลอันดามันถือได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ามากที่สุดของไทย เนื่องจากมีรีสอร์ตที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทวีปเอเชีย รวมไปถึงจังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง และหมู่เกาะตามแนวชายฝั่งของทะเลอันดามัน ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ
ภูมิอากาศของไทยเป็นแบบเขตร้อน หรือแบบสะวันนา มีอุณหภูมิเฉลี่ย 18-34 °C และมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยตลอดปีกว่า 1,500 มิลลิเมตร สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ฤดูกาล: อากาศร้อนระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายนเป็นฤดูร้อน; ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากทะเลจีนใต้เป็นฤดูฝน; ส่วนในเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากประเทศจีนเป็นฤดูหนาว[25] ส่วนภาคใต้มีสภาพอากาศแบบป่าดงดิบ ซึ่งมีอากาศร้อนชื้นตลอดทั้งปี จึงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ฤดู: โดยฝั่งทะเลตะวันออก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน และฝั่งทะเลตะวันตก ฤดูร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน[25]
ประเทศไทยยังคงมีความหลากหลายทางชีวภาพของทั้งพืชและสัตว์อยู่มาก อันเป็นรากฐานอันมั่นคงของการผลิตในภาคการเกษตร และประเทศไทยได้มีผลไม้เมืองร้อนหลากชนิด[23] พื้นที่ราว 29% ของประเทศไทยเป็นป่าไม้ รวมไปถึงพื้นที่ปลูกยางพาราและกิจกรรมปลูกป่าบางแห่ง[26] ประเทศไทยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากว่า 50 แห่ง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าอีก 56 แห่ง โดยพื้นที่ 12% ของประเทศเป็นอุทยานแห่งชาติ (ปัจจุบันมี 110 แห่ง[27]) และอีกเกือบ 20% เป็นเขตป่าสงวน[26] ประเทศไทยมีพืช 15,000 สปีชีส์ คิดเป็น 8% ของสปีชีส์พืชทั้งหมดบนโลก[28] ในประเทศไทย พบนกจำนวน 982 ชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก นก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และสัตว์เลื้อยคลานกว่า 1,715 สปีชีส์ซึ่งได้รับการบันทึก[29]
ประวัติศาสตร์
- ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์ไทย
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในอดีต พื้นที่ซึ่งเป็นประเทศไทยในปัจจุบันได้มีมนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่าเป็นต้นมา คือ ราว 20,000 ปีที่แล้ว ภูมิภาคดังกล่าวได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมและทางศาสนาจากอินเดีย นับตั้งแต่อาณาจักรฟูนัน เมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 1 แต่สำหรับรัฐของคนไทยแล้ว ตามตำนานโยนกได้บันทึกว่า การก่อตั้งอาณาจักรของคนไทยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1400[30]อาณาจักรสุโขทัย
- ดูบทความหลักที่ อาณาจักรสุโขทัย
อาณาจักรอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น
การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก[32] ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จึงนำมาสู่การขยายดินแดนมายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้และพระเจ้าบุเรงนอง การสงครามอันยืดเยื้อนับสิบปี ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูใน พ.ศ. 2112[33] สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้เวลา 15 ปีเพื่อสร้างภาวะครอบงำในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งหนึ่ง[34]
จากนั้น กรุงศรีอยุธยาได้กลายมาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด[35] ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศส, ดัตช์, และอังกฤษ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลซึ่งเพิ่มมากขึ้นของชาวต่างชาติในกรุงศรีอยุธยา ทำให้พระเพทราชาประหารชีวิตคอนสแตนติน ฟอลคอน[36] ความขัดแย้งภายในทำให้การติดต่อกับชาติตะวันตกซบเซาลง[37]
อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การสงครามกับราชวงศ์คองบองส่งผลให้อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310 ในปีเดียวกัน พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของคนไทยเป็นเวลานาน 15 ปี ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ จนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325
ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยเผชิญกับการรุกรานจากชาติเพื่อนบ้านหลายครั้งจนกระทั่งรัชกาลที่ 4 พระราชนโยบายของพระมหากษัตริย์ในช่วงนี้ คือ การป้องกันตนเองจากมหาอำนาจอาณานิคม แต่ก็ส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ เทคโนโลยีตะวันตก และการศึกษาอันทันสมัย[38]
การเผชิญหน้ากับชาติตะวันตก
- ดูเพิ่มที่ การเปลี่ยนแปลงดินแดนของสยามและไทย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้สยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายเดียวกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้ประเทศได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ นำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลายเพื่อให้ชาติมีอธิปไตยอย่างแท้จริง แต่กว่าจะเสร็จก็ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล[42]
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง สงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามเย็น
- ดูบทความหลักที่ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และ สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย
ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนโยบายในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค และส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ต่อมา ประเทศไทยประสบกับปัญหาการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในประเทศ แต่ในภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็กลับอ่อนแอลงจนไม่สามารถปฏิบัติการได้อีก โดยสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ยุติลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อปี พ.ศ. 2523[43]
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการทหารในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา ยังให้มีนายกรัฐมนตรีพลเรือนคนแรก[ต้องการอ้างอิง] ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และได้มีการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญถึงสองครั้งในเหตุการณ์ 6 ตุลา และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงมั่นคงยิ่งขึ้น[ต้องการอ้างอิง]พุทธทศวรรษที่ 2540 ถึง 2550 อันเป็นช่วงเวลาที่พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีสองสมัยติดต่อกัน ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประท้วงขับไล่พันตำรวจโททักษิณออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้น เกิดรัฐประหาร และรัฐบาลทหารเถลิงอำนาจเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในปี 2550 ซึ่งทำให้ประเทศกลับเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคงชุมนุมขับไล่ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สืบต่อมา หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบพรรคอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่การชุมนุมต่อต้านของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ[ต้องการอ้างอิง]
การเมืองการปกครองและรัฐบาล
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีรูปแบบรัฐเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และใช้การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา หรือที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเรียกรวมกันว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นฉบับที่ 18 อันกำหนดรูปแบบองค์กรบริหารอำนาจทั้งสามส่วนดังนี้
- อำนาจนิติบัญญัติ มีรัฐสภาในระบบสองสภา อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา มีสมาชิกรวมกันทั้งสิ้น 630 คน เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานรัฐสภาเป็นประมุขแห่งอำนาจ[45]
- อำนาจบริหาร มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ตามคำกราบบังคมทูลของประธานรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรี เป็นองค์กรบริหารอำนาจ นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขแห่งอำนาจ[46]
- อำนาจตุลาการ มีระบบศาล ซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง เป็นองค์กรบริหารอำนาจ มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประมุขในส่วนของตน
การแบ่งเขตการปกครอง
- ดูบทความหลักที่ การแบ่งเขตการปกครองของประเทศไทย และ จังหวัดในประเทศไทย
เมืองใหญ่และจังหวัดใหญ่
อันดับ | เขตการปกครอง / จังหวัด | จำนวนประชากร |
---|---|---|
— | กรุงเทพมหานคร | 5,701,394 |
1 | นครราชสีมา | 2,582,089 |
2 | อุบลราชธานี | 1,813,088 |
3 | ขอนแก่น | 1,767,601 |
4 | เชียงใหม่ | 1,640,479 |
5 | บุรีรัมย์ | 1,553,765 |
เศรษฐกิจ
- ดูบทความหลักที่ เศรษฐกิจไทย
ตัวชี้วัดทางเศรษฐฏิจ | ||
---|---|---|
อัตราการว่างงาน | 1.5% (2553 ประมาณ) | [1] |
การเติบโตของจีดีพี | -2.8% (2552 ประมาณ) | [1] |
ภาวะเงินเฟ้อ CPI | -0.9% (2553) | [1] |
หนี้สาธารณะ | 4.27 ล้านล้านบาท (พ.ค. 2554) | [56] |
ความยากจน | 9.6% (2549 ประมาณ) | [1] |
ประเทศไทยถือว่าเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ของโลก เคยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกระหว่างปี พ.ศ. 2528-2539 (คิดเป็น 9.4% ต่อปีโดยเฉลี่ย) [1] อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทอย่างเป็นอันตราย ในปี พ.ศ. 2540 อันเป็นปีที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย เศรษฐกิจไทยหดตัวลง 1.9% นายกรัฐมนตรีชวลิต ยงใจยุทธได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอยู่ที่ 56 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ก่อนที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปี พ.ศ. 2542 หลังจากนั้น ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2547 ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวกว่า 5-7% ต่อปี และ 4-5% ต่อปี ระหว่างปี พ.ศ. 2548-2550 วิกฤตการณ์การเมืองภายในประเทศได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย วิกฤตการณ์การเงินทั่วโลกและความขาดเสถียรภาพทางการเมืองจะยังคงเป็นอุปสรรคขัดขวางเศรษฐกิจไทยต่อไป[1]
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ได้มีการบรรจุแผนการใช้และพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529) เป็นต้นมา แต่ในขณะนั้นยังพบว่ามีอุปสรรคด้านสมรรถภาพของประเทศในด้านวิทยาศาสตร์และเทโคโลยีของประเทศยังไม่เข้มแข็ง จนถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) จึงได้จัดแผนพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เป็น 1 ใน 10 ของแผน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตและการแปรรูปสินค้า[64]พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับพระสมัญญานามว่า "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" จากการที่ได้ทรงคำนวณสุริยุปราคาเต็มดวง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 อย่างแม่นยำ เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2525 โดยรัฐบาลกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปีเป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ[65]
การคมนาคม
- ดูบทความหลักที่ การคมนาคมในประเทศไทย
สำหรับการคมนาคมทางอากาศนั้น ปัจจุบันประเทศไทยได้เปิดใช้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นท่าอากาศยานขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยเปิดอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549[66] เพื่อใช้แทนที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง ส่วนการคมนาคมทางน้ำ ประเทศไทยมีท่าเรือหลัก ๆ คือ ท่าเรือกรุงเทพ คลองเตย และท่าเรือแหลมฉบัง
การท่องเที่ยว
- ดูบทความหลักที่ การท่องเที่ยวในประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2553 มีนักท่องเที่ยวรวม 15.94 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 12.63 โดยมากกว่า 1 ใน 4 เป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียน[69]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทหาร
- ดูบทความหลักที่ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย และ กองทัพไทย
กองทัพไทยแบ่งออกเป็นสามเห่ล่าทัพ ได้แก่ กองทัพบก, ราชนาวี และกองทัพอากาศ ทุกวันนี้กองทัพไทยมีกำลังทหารทั้งสิ้นราว 1,025,640 นาย และมีกำลังหนุนกว่า 200,000 นาย และมีกำลังกึ่งทหารประจำการกว่า 113,700 นาย[75] พระมหากษัตริย์ไทยดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยโดยพฤตินัย ซึ่งปัจจุบันคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช[75] แต่ในทางปฏิบัติ กองทัพอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหม มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย มีผู้บัญชาการกองทัพไทยเป็นผู้สั่งการ เมื่อปี พ.ศ. 2553 กระทรวงกลาโหมได้รับจัดสรรงบประมาณทั้งสิ้น 154,032,478,600 บาท[76]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติไว้ว่าการป้องกันประเทศเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคน[77] ชายไทยทุกคนมีหน้าที่รับราชการทหาร[78] กองทัพจะเรียกเกณฑ์ชายซึ่งมีอายุย่างเข้า 21 ปี โดยอาศัยความตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 โดยจะถูกเรียกมาตรวจเลือกหรือรับเข้ากองประจำการ[78]
ระยะเวลาทำการฝึกอยู่ระหว่าง 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา การศึกษาวิชาทหาร และการสมัครเข้าเป็นทหาร[79] โดยถ้าผู้รับการตรวจเลือกสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี หากจับได้สลากแดง (ใบแดง) จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม หรือหากสมัครโดยไม่จับสลาก จะรับราชการเพียง 6 เดือน เป็นต้น ผู้ที่จับได้สลากดำ (ใบดำ) ไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ถ้านักศึกษาวิชาทหารสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 1 จะต้องรับราชการ 1 ปีเต็ม ถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 2 จะต้องรับราชการ 6 เดือน และถ้าสำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 3-5 ไม่ต้องบรรจุในกองประจำการ แต่สามารถเรียกพลได้ ในฐานะทหารกองหนุนประเภท 1[80]
ล่าสุด ทางเว็บไซต์ GlobalFirepower ได้จัดอันดับความแข็งแกร่งของกองทัพไทยอยู่อันดับที่ 19 ของโลก[81]
ประชากร
- ดูเพิ่มที่ ลักษณะประชากรไทย
ชนชาติ
- ดูเพิ่มที่ ไทยสยาม และ กลุ่มชาติพันธุ์ไท-กะได
ปี (พ.ศ.) | จำนวนประชากร (คน) | จำนวนคนเกิด (คน) | จำนวนคนตาย (คน) |
---|---|---|---|
2548 | 62,418,054 | 809,774 | 399,331 |
2549 | 62,828,706 | 802,924 | 392,044 |
2550 | 63,038,247 | 811,384 | 398,438 |
2551 | 63,389,730 | 797,356 | 401,981 |
2552 | 63,525,062 | 787,739 | 398,130 |
2553 | 63,878,267 | 766,370 | 414,888 |
ประเทศไทยมีการแบ่งแยกเชื้อชาติและชาติพันธุ์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านมาก โดยสนับสนุนความเป็นอิสระในแต่ละเชื้อชาติ ได้มีนักวิชาการตะวันตกเขียนเอาไว้ว่า ประเทศไทยเป็น "สังคมที่มีโครงสร้างอย่างหลวม ๆ"[87]
ศาสนา
- ดูเพิ่มที่ ศาสนาในประเทศไทย
ภาษา
- ดูบทความหลักที่ ภาษาในประเทศไทย
นอกเหนือจากภาษาไทยแล้ว ในประเทศไทยยังมีการใช้งานภาษาของชนกลุ่มน้อยเช่น ภาษาจีนโดยเฉพาะสำเนียงแต้จิ๋ว ภาษาลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งบางครั้งนิยามว่าภาษาลาวสำเนียงไทย ภาษามลายูปัตตานีทางภาคใต้ นอกจากนี้ก็มีภาษาอื่นเช่น ภาษากวย ภาษากะยาตะวันออก ภาษาพวน ภาษาไทลื้อ ภาษาไทใหญ่ รวมไปถึงภาษาที่ใช้กันในชนเผ่าภูเขา ประกอบด้วยตระกูลภาษามอญ-เขมร เช่น ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาเวียดนาม และภาษามลาบรี; ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน เช่น ภาษาจาม; ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต เช่น ภาษาม้ง ภาษากะเหรี่ยง และภาษาไตอื่น ๆ เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาแสก เป็นต้น
ภาษาอังกฤษและอักษรอังกฤษมีสอนในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แต่จำนวนผู้ที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องในประเทศไทยยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ และส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองและในครอบครัวที่มีการศึกษาดีเท่านั้น ซึ่งในด้านความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษนั้น จากที่ประเทศไทยเคยอยู่ในระดับแนวหน้าในปี พ.ศ. 2540 แต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2549 ไทยกลับล้าหลังประเทศลาวและประเทศเวียดนาม[90]
การศึกษา
- ดูบทความหลักที่ การศึกษาในประเทศไทย
ในการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย นักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายจะต้องผ่านระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งโดยปกติจะเสร็จสิ้นในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 มหาวิทยาลัยในประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งติดอยู่ในอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชียจาก QS Asian University Rankings 2011[92]
แต่กระนั้น ก็ยังมีการเป็นห่วงในประเด็นทางด้านระดับเชาวน์ปัญญาของเยาวชนชาวไทย ซึ่งจากการศึกษาของหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่นได้รายงานว่า "กรมอนามัยและกรมสุขภาพจิตจะต้องรับมือกับความฉลาดที่ต่ำลง หลังจากได้พบว่าระดับเชาวน์ปัญญาโดยเฉลี่ยในกลุ่มเยาวชนต่ำกว่า 80"[93] วัชระ พรรณเชษฐ์ได้รายงานในปี พ.ศ. 2549 ว่า "ค่าเฉลี่ยของระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กไทยอยู่ระหว่าง 87-88 ซึ่งยังคงอยู่ในระดับ 'ต่ำกว่ามาตรฐาน' จากการจัดระดับในระดับสากล"[94] ปัญหาในการศึกษาไทย พบว่าการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนยังจำกัดอยู่มาก[95]
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมไทยได้รับเอาวัฒนธรรมอินเดีย จีน ขอมและดินแดนบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาอย่างมาก พุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเอกลักษณ์และศรัทธาของไทยสมัยใหม่ ทำให้พุทธศาสนาในประเทศไทยได้มีการพัฒนาตามกาลเวลา ซึ่งรวมไปถึงการรวมเอาความเชื่อท้องถิ่นที่มาจากศาสนาฮินดู การถือผี และการบูชาบรรพบุรุษ ส่วนชาวมุสลิมอาศัยอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงชาวจีนโพ้นทะเลที่เข้ามามีส่วนสำคัญอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและใกล้เคียง ซึ่งการปรับตัวเข้ากับสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มชาวจีนได้มีตำแหน่งในอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองวัฒนธรรมไทยมีส่วนที่คล้ายคลึงกับวัฒนธรรมเอเชีย กล่าวคือ มีการให้ความเคารพแก่บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นการยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างช้านาน ชาวไทยมักจะมีความเป็นเจ้าบ้านและความกรุณาอย่างดี แต่ก็มีความรู้สึกในการแบ่งแยกลำดับชั้นอย่างรุนแรงเช่นกัน ความอาวุโสเป็นแนวคิดที่สำคัญในวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง ผู้อาวุโสจะต้องปกครองดูแลครอบครัวของตนตามธรรมเนียม และน้องจะต้องเชื่อฟังพี่
การทักทายตามประเพณีของไทย คือ การไหว้ ผู้น้อยมักจะเป็นผู้ทักทายก่อนเมื่อพบกัน และผู้ที่อาวุโสกว่าก็จะทักทายตอบในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน สถานะและตำแหน่งทางสังคมก็มีส่วนต่อการตัดสินว่าผู้ใดควรจะไหว้อีกผู้หนึ่งก่อนเช่นกัน การไหว้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ในการให้ความเคารพและความนับถือแก่อีกผู้หนึ่ง
ศิลปะ
- ดูบทความหลักที่ ศิลปะไทย
ประติมากรรมไทยเดิมนั้นช่างไทยทำงานประติมากรรมเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป โดยมีสกุลช่างต่างๆ นับตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย เรียกว่า สกุลช่างเชียงแสน สกุลช่างสุโขทัย อยุธยา และกระทั่งรัตนโกสินทร์ โดยใช้ทองสำริดเป็นวัสดุหลักในงานประติมากรรม เนื่องจากสามารถแกะแบบด้วยขี้ผึ้งและตกแต่งได้ แล้วจึงนำไปหล่อโลหะ เมื่อเทียบกับประติมากรรมศิลาในยุคก่อนนั้น งานสำริดนับว่าอ่อนช้อยงดงามกว่ามาก
สถาปัตยกรรมไทยมีปรากฏให้เห็นในชั้นหลัง เนื่องจากงานสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่ชำรุดทรุดโทรมได้ง่าย โดยเฉพาะงานไม้ ไม่ปรากฏร่องรอยสมัยโบราณเลย สถาปัตยกรรมไทยมีให้เห็นอยู่ในรูปของบ้านเรือนไทย โบสถ์ วัด และปราสาทราชวัง ซึ่งล้วนแต่สร้างขึ้นให้เหมาะสมกับสภาพอากาศและการใช้สอยจริง
อาหารไทย
- ดูบทความหลักที่ อาหารไทย
วัฒนธรรมสมัยนิยมได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของคนไทย โดยหันมาบริโภคอาหารจานด่วนมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคจากภาวะโภชนาการเกิน แต่กลับไม่สามารถขจัดโรคขาดสารอาหารได้[63]
ภาพยนตร์ไทย
- ดูบทความหลักที่ ภาพยนตร์ไทย
ในช่วงหลัง พ.ศ. 2490 ถือเป็นช่วงยุคเฟื่องฟูของภาพยนตร์ไทย สตูดิโอถ่ายทำและภาพยนตร์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นประเทศไทยเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็นช่วงซบเซาของภาพยนตร์ไทย เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง กิจการภาพยนตร์ในประเทศไทยค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมา ได้เปลี่ยนไปสร้างเป็นภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตรแทน และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขัน ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมือง และสังคม ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2516-2529 ต่อมาภาพยนตร์ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2530-2539 โดยในตอนต้นทศวรรษวัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ นอกจากภาพยนตร์ประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ และหนังเกรดบี ก็มีการผลิตมามากขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีภาพยนตร์ที่มุ่งสู่ตลาดโลก เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิสในสหรัฐอเมริกา และยังมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์ ล่าสุด ภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้ [101]
วันสำคัญ
- ดูบทความหลักที่ รายชื่อวันสำคัญของไทย
กีฬา
ส่วนกีฬาที่กำลังเติบโตในประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ได้แก่ รักบี้และกอล์ฟ โดยผลงานของนักกีฬารักบี้ทีมชาติไทย ทำผลงานได้ถึงอันดับที่ 61 ของโลก[103] ประเทศไทยยังเป็นประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรักบี้ทัวร์นาเมนต์รุ่นเวลเทอร์เวท 80 กิโลกรัมในปี พ.ศ. 2548[104] ส่วนกีฬากอล์ฟนั้น ไทยได้รับสมญานามว่าเป็น "เมืองหลวงของกอล์ฟในทวีปเอเชีย"[105] ในประเทศไทย มีสนามกอล์ฟคุณภาพระดับโลกกว่า 200 แห่ง[106] ซึ่งดึงดูดนักกอล์ฟจำนวนมากจากเกาหลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้และประเทศตะวันตกทุกปี[107]
สำหรับผลงานทางด้านกีฬา ประเทศไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาในระดับโลกหลายอย่าง เช่น โอลิมปิกฤดูร้อน โอลิมปิกฤดูหนาว เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ ซึ่งประเทศไทยเองได้รับสิทธิเป็นผู้จัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง และซีเกมส์ 6 ครั้ง นอกจากนี้ยังเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเอเชียนคัพและฟุตบอลโลกหญิงเยาวชน อีกด้วย สมรักษ์ คำสิงห์เป็นนักกีฬาชาวไทยคนแรกผู้คว้าเหรียญทองในการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิกฤดูร้อน 1996
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น