ขั้นตอนการทำรายงานวิชการการ
ขั้นตอนที่ ๑ การเลือกเรื่อง
๑. ๑ มีความสำคัญ สอดคล้องกับบทเรียน และ เหมาะสมกับระดับชั้นที่กำลังศึกษาอยู่
๑.๒ เป็นสารประโยชน์แก่ตนเอง หรือ สาธารณชน นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
๑.๓ เป็นเรื่องที่หาข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ วัสดุอ้างอิงอื่นๆ ได้ไม่ยากและมีเพียงพอ
๑.๔ ผู้ศึกษามีความสนใจที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
๑.๕ แสดงขอบเขตในการดำเนินงานที่ชัดเจน หลีกเลี่ยงหัวข้อเรื่องที่มีความหมายกว้างผู้ศึกษาไม่เห็นแนวทางที่แน่นอน
๑.๖ พอเหมาะกับความสามารถของผู้ศึกษา และ ระยะเวลาที่กำหนดให้ดำเนินการ
๑.๗ ต้องเตรียมรับปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินการ
๑.๘ กำหนดวัตถุประสงค์ หรือ จุดมุ่งหมายในการศึกษาค้นคว้าให้ชัดเจนเพื่อช่วยกำหนดทิศทางในการเขียนที่แน่นอนยิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ ๒ การวางโครงเรื่อง
๒.๑ พิจารณาวัตถุประสงค์ในการเสนอเรื่องว่าต้องการเสนออะไรเป็นสำคัญ
๒.๒ ศึกษาข้อมูลจากแหล่งความรู้ที่หลากหลายทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออีเล็กทรอนิกส์ ภูมิปัญญาชาวบ้าน หรือแหล่งเรียนรู้อื่นๆ คะเนว่าได้ความรู้ที่สมบูรณ์ เพียงพอ แล้วจึงนำมากำหนดโครงเรื่องอย่างคร่าวๆ
๒.๓ ปรับปรุงโครงเรื่องคร่าวๆ ที่วางไว้ในตอนต้นโดยตัดทอนสิ่งที่เกินความต้องการออก เพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหายไป เรียงลำดับหัวข้อเรื่องให้เหมาะสม อาจรวมบางข้อเข้าด้วยกัน หรือ แยกหัวข้อที่ใหญ่มากๆ ออกเป็นหัวข้อย่อยที่จะทำให้เนื้อเรื่องชัดเจน สอดคล้องและครอบคลุมวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
ข้อสังเกต ๑) การวางโครงเรื่องต้องกระชับ รัดกุม เจาะจงเนื้อหา ไม่ใช้ถ้อยคำกว้างๆ ที่ไม่สามารถแสดงขอบเขต
ของเรื่องได้
๒) หัวข้อย่อยทุกหัวข้อต้องสนับสนุนประเด็นสำคัญของเรื่องไม่นำหัวข้อที่มีเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องมาปะปนให้เสียเอกภาพ
๓) กำหนดตัวเลขหรือตัวอักษรกำกับหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยให้เป็นระบบ
๔) หัวข้อย่อยทุกหัวข้อในโครงเรื่องจะต้องสอดคล้องกันด้วยเหตุผล
ขั้นตอนที่ ๓ การรวบรวมข้อมูล
สืบค้นข้อมูลตามโครงเรื่องที่วางไว้ทีละหัวข้อ ทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์/สื่ออีเล็กทรอนิกส์ โดยใช้ทักษะการอ่าน การฟัง การดู การสังเกต การคิดวิเคราะห์ การซักถาม ตลอดจนการจดบันทึกข้อมูลสำคัญและแหล่งเรียนรู้ที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้าตามแบบบรรณานุกรมที่ถูกต้องทุกขั้นตอน
การเขียนบรรณานุกรมเอกสารอ้างอิงประเภทต่างๆ ควรเขียนแยกประเภทและเรียงตามลำดับตัวอักษรตัวแรกของชื่อผู้แต่ง
๓.๑ หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. ปีที่พิมพ์. ชื่อหนังสือ. พิมพ์ครั้งที่. เมืองที่พิมพ์ : ชื่อสำนักพิมพ์/โรงพิมพ์.
หมายเหตุ ชื่อผู้แต่งถ้ามียศ ตำแหน่ง ฐานันดรศักดิ์ ให้เขียนชื่อตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค แล้วจึงต่อด้วยยศ
ตำแหน่ง ฐานันดรศักดิ์.
ชื่อสำนักพิมพ์ไม่ต้องใส่คำว่า “สำนักพิมพ์” ถ้าเป็นชื่อโรงพิมพ์ต้องระบุคำว่า “โรงพิมพ์” ไว้ด้วย ระมัดระวัง
เครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้อง
๓.๒ บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียนบทความ. “ชื่อบทความ”. ชื่อวารสาร. ปีที่ (ฉบับที่) : หน้าที่อ้างถึง.
๓.๓ บทความในหนังสือพิมพ์
ชื่อผู้เขียนบทความ. ปีที่พิมพ์, วันที่ เดือน. “ชื่อบทความ”. ชื่อหนังสือพิมพ์. หน้าที่อ้างถึง.
๓.๔ บทสัมภาษณ์
ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์. ตำแหน่ง (ถ้ามี). สถานที่สัมภาษณ์, วัน เดือน ปี ที่สัมภาษณ์.
๓.๕ สื่ออีเล็กทรอนิกส์
เว็บไซต์ ชื่อผู้แต่ง. ปีที่สืบค้น. ชื่อเรื่อง. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : URL. (วันเดือนปีที่สืบค้นข้อมูล :
..........)
ซีดี-รอม ชื่อผู้บรรยายหรือผู้ขับร้อง. ปีที่ผลิต. ชื่อเรื่อง. (ซีดี-รอม). สถานที่ผลิต : ผู้ผลิต.
ขั้นตอนที่ ๔ การเรียบเรียงข้อมูล
๔.๑ ก่อนเริ่มเรียบเรียงในหัวข้อแรกผู้เขียนต้องนำเสนอความเป็นมา/ความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน
๔.๒ เรียบเรียงสาระสำคัญทีละหัวข้อตามขอบเขตหรือโครงเรื่องที่วางไว้ โดยนำเสนอรายละเอียด ข้อเท็จจริง และแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ให้ชัดเจน ด้วยสำนวนภาษาของตนเอง ใช้ประโยคสั้นๆ ตรงไปตรงมา ไม่สับสนวกวน เน้นตอนสำคัญ ไม่ใช้ภาษาฟุ่มเฟือย เล่นสำนวน ย้ำคำหรือความโดยไร้ประโยชน์ เขียนแต่ละประโยคให้ได้ใจความที่สมบูรณ์
๔.๓ การคัดลอกข้อความจากแหล่งความรู้ที่ได้ศึกษามาโดยตรงควรทำเมื่อต้องการใช้ข้อความนั้นสนับสนุนเรื่องที่กำลังเขียน และ ต้องการอ้างอิงคำกล่าวของผู้รู้มาประกอบ หรือ เพื่อแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ข้อเขียนนั้นมีน้ำหนักที่น่าเชื่อถือ และ เป็นการแสดงมารยาทในการเขียน ให้เกียรติแก่ผู้เป็นเจ้าของข้อมูลที่คัดลอกมานำเสนอ การคัดลอกข้อความจากแหล่งอ้างอิงมาประกอบในรายงานวิชาการ ควรปฏิบัติดังนี้
๑) คัดลอกข้อความให้เหมือนต้นฉบับเดิมทุกประการโดยไม่แทรกคำ/ข้อความอื่นใด
๒) ก่อนคัดลอกควรกล่าวนำในเนื้อเรื่องว่าเป็นถ้อยคำของใคร สำคัญอย่างไร จึงคัดลอกเอามาประกอบในรายงาน
๓) ข้อความที่คัดลอกมาควรอยู่ภายใต้เครื่องหมายอัญประกาศ
๔.๔ แก้ไขปรับปรุงข้อความให้สมบูรณ์ โดยมีขั้นตอนดังนี้
๑) อ่านทบทวนตั้งแต่ต้นจนจบให้ละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าในแต่ละตอนมีเนื้อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เนื้อเรื่องได้
สัดส่วน มีเหตุผลตามหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้
๒) พิจารณาว่ารายงานแต่ละตอนถูกต้องชัดเจนหรือไม่ ตรงตามจุดมุ่งหมายเพียงใด และ สรุปประเด็นให้ถูกต้อง
๓) ตรวจดูสำนวนภาษาที่ใช้ในรายงานให้ละเอียด เลือกใช้คำให้ตรงกับความหมาย ผูกประโยคให้ได้ใจความและเชื่อมความให้ต่อเนื่องกัน ใช้ภาษาและตัวสะกดให้ถูกต้อง
๔) แทรกรูปภาพ ตาราง แผนภูมิ เพื่อช่วยส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน
ขั้นตอนที่ ๕ การจัดทำรูปเล่ม
รายงานวิชาการมีองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญอย่างน้อย ๕ ส่วน แต่ละส่วนจะมีลักษณะสำคัญและรายละเอียดพอสรุปดังนี้
๕.๑ ปกนอก ควรทำด้วยกระดาษปกซึ่งหนากว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์รายงาน ประกอบด้วย ชื่อรายงาน ชื่อผู้จัดทำ
เสนอต่อใคร และ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชา......... รหัสวิชา.............. ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ ...... ภาคเรียนที่...... ปีการศึกษา .........
ปกใน ใช้กระดาษเช่นเดียวกับที่พิมพ์รายงาน รายละเอียดเหมือนปกนอก ยกเว้นกรณีเป็นงานกลุ่ม ปกนอก
อาจระบุเพียงชื่อกลุ่ม แต่ปกในต้องระบุรายนามสมาชิกภายในกลุ่ม พร้อมชื่อ-นามสกุล ห้อง และเลขที่
ให้ครบทุกคน
๕.๒ คำนำ เป็นส่วนที่นำเสนอวัตถุประสงค์ ขอบเขต แนวทางวิธีดำเนินการโดยสังเขป ตลอดจนการแสดง
ความขอบคุณต่อผู้มีอุปการคุณที่ช่วยสนับสนุนให้การทำรายงานสำเร็จสมบูรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
๕.๓ สารบัญ นำเสนอหัวข้อสำคัญของรายงาน โดยทั่วไปอาจใช้โครงเรื่องที่นำเสนอมาเขียนเป็นสารบัญ โดย
ระบุเลขที่หน้าที่เริ่มต้นหัวข้อนั้นๆ ไว้ให้ชัดเจน หากเรื่องมีข้อมูลสลับซับซ้อนอาจนำเสนอหัวข้อย่อย
ประกอบให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
๕.๔ เนื้อหาสาระ เรียบเรียงตามหลักการในขั้นตอนที่ ๔ ลำดับเลขหน้าตามโครงเรื่องที่วางไว้
๕.๕ บรรณานุกรม จำแนกเป็นสื่ออ้างอิงประเภทสิ่งพิมพ์ และ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่ละประเภทเรียงลำดับ
ตามตัวอักษรของชื่อผู้แต่ง หากผู้แต่งมียศถาบรรดาศักดิ์นำหน้าให้ใช้ชื่อขึ้นก่อนตามด้วย
เครื่องหมายจุลภาคแล้วจึงนำยศถาบรรดาศักดิ์มาต่อท้าย เช่น
กุสุมา รักษมณี, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เป็นต้น
๕.๖ ภาคผนวก เป็นองค์ประกอบที่มีหรือไม่ก็ได้ นิยมจัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อเสริมรายงานให้
กระจ่างชัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น